วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทความเรื่อง Web/Library 2.0 จาก ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ


ก้าวสู่ห้องสมุด 2.0 (Library 2.0) ได้อย่างไร
เขียนโดย Boonlert Aroonpiboon  
Library 2.0 คืออะไร ลักษณะใดของห้องสมุดจึงจะเรียกว่าเป็นการพัฒนาเพื่อก้าวสู่ Library 2.0 ประเทศไทยก้าวสู่ยุค Library 2.0 แล้วหรือยัง และอีกหลายๆ คำถามที่บรรณารักษ์ ผู้บริหารห้องสมุด และสำนักวิทยบริการต่างๆ ต้องการคำตอบที่ชัดเจนLibrary 2.0 กล่าวให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือรูปแบบหนึ่งของการพัฒนาเว็บไซต์บริการ/ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของห้องสมุด สำนักวิทยบริการต่างๆ ที่เน้นการโต้ตอบกับผู้ใช้ การทำงานร่วมกัน ตลอดจนการนำเสนอด้วยสื่อมัลมีเดียที่เหมาะสม ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงนับเป็นการให้บริการที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
การให้บริการที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางค่อนข้างจะเข้าใจยากไปบ้าง แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คงจะหมายถึงการจัดทำเว็บไซต์ที่ผู้ใช้ไม่ได้เพียงแต่เข้ามาดูว่าเว็บห้องสมุดมีอะไรบ้าง ใครเป็นผู้บริหาร หน้าตาอย่างไร และเปิด/ปิดเมื่อไร แต่ผู้ใช้ควรมีส่วนร่วมในการติชม แนะนำบริการ และสร้างสรรค์เนื้อหาร่วมกับบุคลากรของห้องสมุดได้ด้วย โดยการให้สิทธิ์นี้ก็คงแล้วแต่นโยบายของหน่วยงานเอง
ตัวอย่างง่ายๆ ในการก้าวสู่ห้องสมุด 2.0 ก็คือ การพัฒนาเว็บไซต์ที่เน้นสื่อมัลติมีเดีย และเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าต่อผู้ใช้ มากกว่าข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมา รูปแบบการให้บริการ โครงสร้างองค์กร เวลาเปิด/ปิด ดังนั้นบุคลากรของห้องสมุดจะต้องเปิดใจร่วมกันสร้างสรรค์ความรู้ที่ตนมีความเชี่ยวชาญเผยแพร่ และให้บริการในเชิงรุกอย่างแท้จริง ใครถนัดฐานข้อมูลออนไลน์ ก็ไ่ม่ใช่นั่งรอให้ผู้ใช้เข้ามาขอใช้บริการ แต่ควรจะรุกหาผู้ใช้โดยการศึกษาถึงความต้องการ เช่น ปัจจุบันมีเนื้อหาใด หรือหัวข้อใดที่กำลังกล่าวถึง ก็นำเนื้อหาหรือหัวข้อดังกล่าวมาสืบค้นเบื้องต้นจากฐานข้อมูลออนไลน์ และสรุปเป็นข้อมูลหรือสาระความรู้ที่เหมาะสมเผยแพร่ให้ทันต่อสถานการณ์
หรือการเปิดช่องทางสื่อสาร ถามตอบแแบบเรียวไทม์ (Real time) ด้วยบริการ ICQ, MSN ระหว่างผู้ใช้ห้องสมุดกับบุคลากรห้องสมุด ซึ่งปัจจุบันก็เห็นชัดว่าบุคลากรห้องสมุดจริงๆ ก็เล่น ICQ หรือ MSN กันระหว่างกันอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้มาถาม/ตอบอย่างเป็นทางการนั่นเอง
นอกจากนี้ยังสามารถเปิดเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ผู้ใ้ช้ที่มีความสนใจในการขีดๆ เขียนๆ ร่วมกันสร้างสรรค์เนื้อหาได้อีกด้วย เช่น การเปิดเว็บไซต์ Blog หรือ Wiki ของห้องสมุด อย่างไรก็ตามการดำเนินการในรูปแบบนี้ นับว่าทำได้ยากมากในประเทศไทย ด้วยเหตุผลความปลอดภัยของระบบ และมารยาทของผู้เขียนเอง
อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยี CMS (Content Management System) และ Blog ทำให้การนำเสนอเนื้อหาจากสมาชิก หรือผู้ใช้ไม่เสี่ยงมากนัก โดยการเปิดระบบเขียนหรือแสดงความคิดเห็นที่ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยผู้ดูแลระบบ หรือจะใช้บริการฟรี Blog เช่น wordprees.com, blog.com ก็ได้ครับ
นอกจากนี้เว็บไซต์ห้องสมุด ควรรองรับเทคโนโลยี RSS ทั้งผู้ให้และผู้รับ กล่าวคือ ทุกเนื้อหาในเว็บไซต์ควรสามารถแปลงเป็น RSS ได้ทันที และอนุญาตให้หน่วยงานอื่นหรือผู้ใช้อื่นมาติดตามข่าวสารผ่าน RSS News ได้ทันที หรือจะดึงข้อมูล RSS จากแหล่งอื่นมาเผยแพร่ก็ได้ ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถเด่นของ CMS และ Blog อยู่แล้วครับ
เนื้อหาหมวดหนึ่งที่เว็บไซต์ห้องสมุดมักจะต้องเผยแพร่ก็คือ หนังสือแนะนำ วารสารแนะนำ หรือสื่อโสตฯ ใหม่ๆ ซึ่งกรณีนี้ก็อาจจะเพิ่มความสามารถแนะนำคำค้นโดยผู้ใช้ที่เรียกว่า Tag ก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้คำค้น หรือ Subject heading ของสื่อนั้นๆ เพิ่มขึ้นและตรงกับความต้องการของผู้ใช้
ดังนั้้นห้องสมุด 2.0 ไม่ใช่เพียงแค่รอให้ผุ้ใช้มาสืบค้น แต่จะต้องรุกหาผู้ใช้ด้วย สร้างช่องทางแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุด เช่น
  1. เปลี่ยนจากระบบอีเมล์หรือ FAQ เป็นการให้บริการด้วย ICQ หรือ MSN  
  2. เปลี่ยนจากเนื้อหานำเสนอด้วยข้อความอย่างเดียว เป็นการให้บริการด้วยสื่อโต้ตอบ หรือสื่อเสมือนจริง
  3. เปิด Blog หรือ Wiki เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ แลกเปลียนความรู้
  4. คำค้นจากผู้ใช้ (Tag) มีความสำคัญพอๆ กับ Controled Term 
  5. เปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเว็บไซต์แบบธรรมดา หรือจ้างพัฒนาราคาแพง แต่เลือกใช้ความสามารถของ CMS ที่เหมาะสมในกลุ่ม Open Source ที่มีให้เลือกได้หลากหลาย
ลองดูน่ะครับ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกท่าน



ขอขอบคุณ

http://www.stks.or.th/web/index.php?option=com_content&task=view&id=1751&Itemid=132

เอื้อเฟื้อข้อมูล


บริการแนะนำ (Guidance Services) / Web & Library 2.0 (สรุปการเรียนวันที่ 28/08/54)


บริการแนะนำ (Guidance Services)
                มีลักษณะเหมือนกับบริการสอนการใช้ แต่มีความแตกต่างกันคือ เน้นการให้ความช่วยเหลือในขณะสืบค้น การเลือกทรัพยากรสารสนเทศที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า ซึ่งห้องสมุดส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนิยมให้บริการ แต่มักจะพบเห็นได้ในห้องสมุดประชาชนที่มีให้บริการ
ประเภทของบริการแนะนำ
บริการแนะนำการอ่าน เป็นการช่วยเหลือสารสนเทศที่เหมาะสมกับผู้ใช้ หรือแนะนำการเลือกสารสนเทศ โดยบรรณารักษ์ หรือ บรรณารักษ์อ้างอิงคอยให้บริการ หรือภาพยนต์สั้นแนะนำหนังสือก็ได้ เพื่อดึงความสนใจให้กับผู้ใช้ หรือแบบสอบถามเพื่อเลือกหนังสือให้ก็ได้
บริการการอ่านบำบัด เป็นการบริการเพื่อปรับปรุง และพัฒนาจิตใจ ความคิด เนื่องจากหนังสือเป็นการส่งเสริมที่สามารถผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ช่วยฟื้นฟูและพัฒนาด้านจิตใจได้ ซึ่งมักจะต้องทำควบคู่กับผู้รู้ด้านจิตวิทยา
บริการปรึกษาแนะนำทำรายงาน ช่วยเหลือแนะนำแนวทางในการค้นคว้า และการทำรายงานในแบบฟอร์มที่ถูกต้องทางวิชาการ พบมากในห้องสมุดโรงเรียน และห้องสมุดวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย
บริการช่วยเหลือการวิจัย เป็นบริการหนึ่งที่กำหนดให้มีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารที่ต้องการ เนื่องจากมีการผลิตสารสนเทศมากมายตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้ตามสารสนเทศได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ในขณะที่บรรณารักษ์สามารถรู้แนวทางการได้มา และการเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการ
บริการอื่นๆ เป็นบริการที่ห้องสมุดที่จะเสริมเพื่อให้ผู้ใช้มีการใช้งานมากขึ้น

Web/Library 2.0
          เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีห้องสมุดที่ต้องตอบสนองต่อการใช้ผู้ใช้ห้องสมุดใรปัจุจบันที่เข้ามาใช้บริการแบบออนไลน์อย่างมากขึ้น โดยอยู่มุมไหนก็ได้ของโลกโดยไม่ต้องเดินเข้าไปห้องสมุดเพื่อขอเข้าไปใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันนี้ห้องต้องเปลี่ยนแปลงการใช้บริการ เพียงไม่ใช่แค่ที่อ่านหนังสืออย่างเดียวอีกแล้ว โดยที่ Web/Library 2.0 เป็นรูปแบบใหม่ของบริการห้องสมุด ซึ่งจะมีลักษณะคือ
-           เป็นเว็บแห่งการมีส่วนร่วม
-           มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างมีวัตถุประสงค์และต่อเนื่อง
-           ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมกับการให้บริการของห้องสมุดผ่านระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เช่น User Comment, Tag และ Rating Feed User-created Content
                ซึ่งที่มาของแนวคิดของการบริการนี้มาจาก พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยน พัฒนาการ IT ตามกฎของพาเรโต (Pareto Principle) /"80/20 rule" และความคิดแบบเศรษฐศาสตร์หางแถว(ยาว)(The Long Tail) จึงทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยี Web 2.0 และเกิดเป็น Library 2.0 ในที่สุด
โดยองค์ประกอบของ Library 2.0 ประกอบไปด้วย
1.       มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง  ผู้ใช้ควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาเนื้อหาและบริการให้สอดคล้องตามความต้องการของผู้ใช้
2.       จัดให้มีการใช้ทรัพยากรในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น วิดีโอ และสื่อเสียง ทั้งนี้ในอนาคตห้องสมุดแบบกายภาพจะลดลง และห้องสมุดเสมือนจะมีบทบาทมาก
3.       สร้างสังคมการสื่อสาร จัดให้มีการสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้ใช้ และผู้ใช้ และ ผู้ใช้กับผู้บริการ ทั้งการสื่อสารทางเดียว (asynchronous) เช่น wikis และ โต้ตอบ (synchronous)เช่น IM
4.        การสร้างสรรค์สังคม  ห้องสมุดเป็นสถาบันบริการสาธารณะ จึงต้องมีความเข้าใจสภาพการปรับเปลี่ยนของสังคมที่ให้บริการ แต่ไม่ใช่บรรณารักษ์เท่านั้น ผู้ใช้จะต้องมีส่วนร่วมด้วยในการปรับเปลี่ยน โดยต้องคำนึงต่อสังคมส่วนรวม พร้อมๆ กับความต้องการส่วนบุคคล
โดยรูปของการบริการต่างๆของ Web/Library 2.0 มักจะใช้เครื่องมือต่างๆที่ใช้งานต่าง เช่น
·      ใช้ RSS แจ้งข่าวห้องสมุด
·      ใช้ RSS, Wikis และ Blogs ในการพัฒนาบุคลากร แจ้งข่าววิจัย
·      พัฒนา OPAC 2.0 ‘rich content
·      การพัฒนา extension เพื่อให้ผู้ใช้ tag หนังสือได้โดยตรงจาก Library Catalog ของ เช่น PennTags ของ University of Pennsylvania
·      การใช้เทคโนโลยี web 2.0 ที่ให้บริการอยู่ในอินเตอร์เน็ตมาใช้ เช่น
     ใช้ Flickr โดยเปิด account ของห้องสมุด การสร้าง group ใน Flickr เพื่อสร้าง digital collection เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย/องค์กร ของ National Library of Australia เช่น Picture Australia,
     หรือการ link authority record ของ Library Catalog กับ Wikipedia เช่น Biz Wiki ของห้องสมุด Ohio University
     หรือการใช้เครือข่ายทางสังคมต่างๆ เช่น Facebook, Twitter เป็นต้น
     การใช้เวอร์ชวลเรียลลิตี (virtual reality) เป็นสภาพแวดล้อมที่จำลองโดยคอมพิวเตอร์ สภาพแวดล้อมในความเป็นจริงเสมือนส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ สิ่งที่เกี่ยวกับการมองเห็น แสดงทั้งบนจอคอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์แสดงผลสามมิติ     แต่การจำลองบางอันยังรวมไปถึงข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสด้วย เช่น เสียงจากลำโพงหรือหูฟัง เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บริการยืมระหว่างห้องสมุดและสถาบัน / บริการข่าวสารทันสมัย / บริการนำส่งเอกสาร (สรุปการเรียนวันที่ 17/08/54)

บริการยืมระหว่างห้องสมุดและสถาบัน (Inter Library Loan-ILL)
เป็นบริการของสถาบันบริการสารสนเทศ ที่ร่วมมือกันให้บริการขอใช้วัสดุห้องสมุดภายในสถาบัน หรือสถาบันบริการสารสนเทศแห่งอื่นๆ โดยมีข้อตกลงร่วมกัน และร่วมกันกำหนดระเบียบต่างๆในการใช้บริการร่วมกัน โดยปัรัชญาของการให้บริการนี้ ได้ยึดหลักการ 3 อย่างคือ ไม่มีห้องสมุดใดที่สามารถจัดหาทรัพยากรที่สามารถตอบสนองความต้องการสารสนเทศผู้ใช้ได้ทั้งหมด ความร่วมมือเป็นพื้นฐานของการจัดบริการยืมระหว่างห้องสมุดและสถาบัน และความต้องการของผู้ใช้เป็นสิ่งที่ต้องสามารถจัดการให้สามารถสนองตอบได้ให้ดีที่สุด                                                                                      
โดยการยืมระหว่างห้องสมุดและสถาบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมให้วิจัยและการศึกษาในเชิงลึก โดยยึดถือหลักการให้ยืมสำหรับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้ห้องสมุด เกิดการบริการแก่ผู้ใช้ที่เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ปริมาณการลงทุนคงที่ หรือให้บริการคงเดิมในราคาที่ถูกกว่าเดิมหรือลงทุนน้อยลง ซึ่งความสำคัญของบริกานี้คือ ขยายความสามารถในการเข้าถึง ลดปัญหาการมีวัสดุที่ไม่เพียงพอ ลดช่องว่างระหว่างความไม่เท่าเทียม ช่วยลดข้อจำกัดด้านระยะทาง มีการใช้สารสนเทศที่คุ้มค่าช่วยประหยัดงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อซ้ำซ้อน โดยเปลี่ยนเป็นการยืมแทนการซื้อ ช่วยให้เข้าถึงสารสนเทศที่หายากที่มีเฉพาะบางห้องสมุดเท่านั้น สร้างความเข้มแข็ง การจัดการบริการในกลุ่มห้องสมุดและเพิ่มความก้าวหน้าอีกด้วย
ซึ่งลักษณะของบริการยืมระหว่างห้องสมุดและสถาบัน จะประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้คือ การยืม และการให้ยืม
ซึ่งมีองค์ประกอบการบริการยืมระหว่างห้องสมุด คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือต่างๆ การสร้างข้อตกลงความร่วมมือในการบริการยืมระหว่างห้องสมุด แบบฟอร์มบริการยืมระหว่างห้องสมุด และการสร้างสมาชิกเครือข่าย
โดยมีการการดำเนินงานยืมระหว่างห้องสมุด อยู่สองรูปแบบคือ การดำเนินงานด้วยระบบมือ และการดำเนินงานในระบบอัตโนมัติ       
                                                                                                                                                                                                                                                
บริการข่าวสารทันสมัย (Current Awareness Service-CAS)
                เป็นบริการที่มีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นเพื่อจัดหาเอกสารที่ผู้ใช้ต้องการทั้งที่อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์ สิ่งไม่ตีพิมพ์ ให้บริการจัดส่งในรูปแบบกระดาษ ฉบับเต็ม ย่อส่วน หรือฉบับอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ เป็นงานบริการที่มีค่าใช้จ่ายในการให้บริการ โดยในการให้บริการนี้ ผู้ให้บริการจะต้องดำเนินการเกี่ยวกับลิขสิทธ์ที่ผู้บริการนำส่งจะต้องขออนุญาตผู้มีสิทธิในผลงาน และเสียค่าลิขสิทธ์ให้ถูกต้องก่อนทำสำเนาถึงผู้ใช้ด้วย ต่อมาเริ่มมีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริการในการจัดทำบริการเสริมการใช้ฐานข้อมูล เช่น Injenta จะให้บริการส่งบทความใหม่ทุกอาทิตย์ในหัวข้อที่ผู้ใช้สนใจ แจ้งทาง e-mail หรือ Emerald จัดทำบริการจดหมายข่าว TOC (Table of content services) และ แจ้งบทความใหม่ในเรื่อง/หัวข้อที่ผู้ใช้กำหนด แจ้งทาง e-mail และ Google จัดบริการ Alert  แจ้งบทความใหม่ในเรื่อง/หัวข้อที่ผู้ใช้กำหนด แจ้งทาง e-mail
บริการข่าวสารทันสมัยจมีประโยชน์ เพื่อตอบสนอง วัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้คือ ให้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ และตามความต้องการต่อผู้รับจัดส่งทันที และจัดส่งให้อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ซึ่งการจัดส่ง หรือเผยแพร่บริการสามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้ ผ่านทางเอกสาร ผ่านคอมพิวเตอร์ และผ่านการสื่อสารต่างๆ  :ซึ่งในปัจจุบันนี้ ได้มีการนำเทคโนโลยี RSSมาใช้ ซึ่งจุดเด่นของ RSS คือผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆเพื่อดูว่ามีข้อมูลอัปเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัปเดทไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัปเดทใหม่บนเว็บไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้สามารถรับข่าวสารอัปเดทใหม่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์ด้วย   


บริการนำส่งเอกสาร (Document delivery service)

เป็นบริการการจัดหาเอกสารที่ผู้ใช้ต้องการทั้งเอกสารที่พิมพ์เผยแพร่ และ ยังไม่ได้เผยแพร่ และ จัดส่งในรูปแบบกระดาษ หรือ วัสดุย่อส่วน หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยวิธีการส่งที่มีประสิทธิภาพ และมีการคิดค่าบริการสำหรับผู้ใช้ด้วยบริการ นี้ เกี่ยวกับลิขสิทธ์ที่ผู้บริการนำส่งจะต้องขออนุญาตผู้มีสิทธิในผลงาน และเสียค่าลิขสิทธ์ให้ถูกต้องก่อนทำสำเนาถึงลูกค้าด้วย การนำส่งเอกสารเริ่มมาจากการยืมระหว่างห้องสมุด มีความเหมือนกันในลักษณะการนำสารสนเทศจากภายนอกสถาบันมาบริการให้ผู้ใช้ มีความแตกต่างตรงที่บริการนำส่งเอกสารเป็นบริการที่ควบคุมกระบวนการเตรียม จัดหา และผลิตสารสนเทศตามคำขอของผู้ใช้ นอกจากนี้บริการนำส่งเอกสารเป็นที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการจัดเก็บสืบค้น บอกแหล่งสารสนเทศ ทำสำเนา และส่งสำเนาเอกสาร  ได้รวดเร็วกว่าบริการยืมระหว่างสถาบันสารสนเทศ และบริการยืมระหว่างห้องสมุดจะใช้เวลาในการดำเนินงานนานกว่าผู้ใช้อาจเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งขั้นตอนการจัดส่งสารสนเทศ จะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้ คือ
             1.การรับคำขอ
            2.การตรวจสอบแหล่งที่มีสารสนเทศ   ในกรณีที่ผู้ใช้บริการไม่ได้ระบุแหล่งที่มีสารสนเทศ ผู้ให้บริการจะดำเนินการตรวจสอบ จากคู่มือ ฐานข้อมูลต่างๆ
           3.การส่งคำขอไปยังแหล่งที่มีสารสนเทศ ทำได้โดยการส่งผ่านระบบออฟไลน์  การส่งทางโทรสาร การส่งผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
        4.การส่งสารสนเทศไปยังผู้ใช้บริการ  ปรกติจะทำการแจ้งให้ผู้ใช้มารับสารสนเทศ หรือส่งทางไปรษณีย์หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การนำส่งต้นฉบับสารสนเทศให้ผู้ใช้ที่เครื่องปลายทาง หรือนักสารสนเทศอาจจัดส่งต้นฉบับสารสนเทศในสื่อประเภทดิสเกตต์ หรือการส่งโดยการถ่ายโอนข้อมูล
         ซึ่งแหล่งบริการจัดส่งสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
         1.สถาบันบริการสารสนเทศและศูนย์สารสนเทศ ซึ่่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร
          2.ตัวแทนจัดหาและจัดส่งสารสนเทศในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการค้าสารสนเทศเชิงพาณิชย์